ปชช.คนไทยไร้สัญชาติ ในมาเลเซีย 80 ราย ข้ามฟากทำบัตร ปชช. แสดงความเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ หลังผ่านพิสูจน์ DNA - ผู้แทนเข้าร่วม ดีใจได้ถือบัตร ปชช.แรกในวัย 39 ด้านเลขาฯ ศอ.บต. เผย ดำเนินการ เพื่อคืนสิทธิ-ความสุข แก่พลเมืองไทย
วันนี้ (13 ก.ย. 2566) ณ ห้องประชุม โรงแรมเก็นติ้ง อ.เมือง จ.นราธิวาส กลุ่มคนไทยที่ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน เข้าตรวจสอบรายชื่อ และถ่ายรูป เพื่อทำบัตรประชาชน ภายใต้โครงการที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ดำเนินงานขึ้น ภายหลัง ศอ.บต. บูรณาการความร่วมมือกับ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู กรมการปกครอง และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ดำเนินการต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหา บุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎรหรือคนไทยไร้สัญชาติในประเทศมาเลเซีย โดยการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม (DNA) เมื่อวันที่ 22 – 25 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยวันนี้ มีผู้ตรวจพิสูจน์ DNA ผ่านแล้ว และเข้าทำบัตรประจำตัวประชาชน กว่า 80 ราย พร้อมทั้งมีกลุ่มประชาชนที่ได้รับบัตรก่อนหน้านี้เข้าร่วมอบรม เรื่องสิทธิและหน้าที่ของการเป็นพลเมืองไทย และการเข้าถึงบริการภาครัฐ กว่า 40 รายด้วย
โดยในการตรวจสอบรายชื่อเพื่อทำบัตรประจำตัวประชาชนในวันนี้แล้ว ศอ.บต.ยังได้จัดกิจกรรม ส่งเสริมความรู้สิทธิและหน้าที่ของการเป็นพลเมืองไทย และการเข้าถึงบริการภาครัฐ พร้อมประสานสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อให้บริการ แนะนำการเขาถึงสิทธิประกันสุขภาพ ด้านกลุ่มคนเปราะบาง มีความพิการ หรือความต้องการช่วยเหลือพิเศษ ทางหน่วยงาน พม.จะพิจารณาให้ความดูแล ตามความต้องการต่อไปด้วย
พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. ประธานในกิจกรรม กล่าวว่า ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการวันนี้ คือ คนไทยที่ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน หรือไร้สถานะทางทะเบียนราษฎร อาจด้วยเหตุผลมากมาย อาทิ สภาพทางเศรษฐกิจ ในการเดินทางไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วมีการคลอดบุตรและไม่ได้แจ้งเกิด เมื่อเติบโตขึ้นมา จะกลับคืนสู่บ้านเกิดก็ลำบาก จะเรียนหนังสือ หรือรักษาพยาบาลก็ไม่ได้ เพราะไม่มีสัญชาติ ทั้งนี้อีกเหตุผลคือ การไม่เข้าใจ-เข้าถึงในระบบเอกสารของทางราชการในสมัยก่อน จึงทำให้มีคนตกหล่น ไม่แจ้งเกิดเป็นจำนวนมาก ซึ่ง ศอ.บต. ดำเนินกิจกรรมนี้ตั้งแต่ปี 2560 ภายหลัง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ส่งห่วงใยมีพระดำรัสให้ ศอ.บต. และหน่วยงานเกี่ยวข้องดูแลประชาชนที่อยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ มีผู้เข้าร่วมตรวจ DNA เพื่อแสดงตัวตน ว่าเป็นคนไทยแต่อาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 353 คน และคนไทยที่ยังไม่มีสถานะในพื้นที่ 5 จชต. มีจำนวน กว่า 2,300 คน รวมยอด 2,700 คน โดย ศอ.บต. ดำเนินเพื่อคืนสิทธิ คืนความสุข แก่พลเมืองไทย
เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวอีกว่า ภายหลังดำเนินการตรวจ DNA ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา คาดว่า มีการตกค้างของประชาชนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนตรวจพิสูจน์ตัวตน เพื่อแสดงตนเป็นคนไทยยังไม่มาก เนื่องจากกงสุลใหญ่ ประเทศมาเลเซีย ได้จัดกิจกรรมกงสุลสัญจร ต่อเนื่อง เพื่อสำรวจกลุ่มคนไทยในประเทศมาเลเซียที่ยังไม่มีสัญชาติไทย ในส่วน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ศอ.บต. ได้ทำหนังสือถึงแต่ละจังหวัด และอำเภอ ให้ดำเนินการสำรวจ คาดว่าปี 2567 อาจมีตกค้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ภาครัฐพร้อมดูแลพี่น้องคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ จชต. หรือข้ามพรมแดนไปทำมาหากินในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะด้วยเหตุผลประการเดียว คือ ท่านเป็นคนไทย” เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าว
ด้าน ผู้เข้าร่วมกิจกรรม น.ส. สาวาเฮ และ น.ส. นอไซนี อาแวกือจิ กล่าวถึงครอบครัวของตนว่า มีพี่น้อง 8 คน พ่อแม่แม่เสียชีวิตแล้ว และในบรรดาพี่น้องทั้งหมดมีเพียงพี่สาวคนโตที่มีบัตรประจำตัวประชาชนในประเทศไทย ระบุ มีทะเบียนในพื้นที่ จ.นราธิวาส ดีใจมากที่ประเทศไทยดูแลดีมากๆจริงๆ เพราะพี่น้องเราเกิดที่มาเลเซีย ทำงานและมีลูกที่นั่น การได้บัตรประชาชนใบแรกในวัย 39 ปี จึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่ต่อไปนี้ พวกเราทั้ง 8 คน จะเป็นคนมีตัวตน พูดได้ว่า เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้ ความหวังที่จะเข้าโรงพยาบาลแล้วไม่ต้องจ่ายเงินก็เป็นจริงแล้ว อย่างไรก็ตามขอบคุณรัฐไทย ที่ทำให้การเป็นคนไทยของเราง่ายกว่าที่เรากังวล
กะนี ประชาชน อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส กล่าวว่า ตนแต่งงานและอาศัยอยู่ประเทศมาเลเซีย จึงไม่ได้แจ้งเกิดบุตร เมื่อได้กลับเข้ามาอยู่ในประเทศจึงส่งผลต่อการเรียนของบุตร ดีใจและซึ้งใจมากที่ได้ทำบัตรประชาชน ไปโรงพยาบาลก็ไม่ต้องใช้เงินส่วนตัวจำนวนมาก ขอบคุณทุกหน่วยงานที่ช่วยเหลือในครั้งนี้
ด้านนายภาษิต จูฑะพุทธิ กงสุลใหญ่ ณ เมืองโกตาบารู กล่าวว่า กงสุลสัญจร ดำเนินการเพื่อสำรวจ เก็บตกประชาชนคนไทยที่ไม่มีทะเบียนราษฎร ซึ่งเป็นความท้าทายในการค้นหา เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล บางครอบครัวทำงานอยู่ในสวนยางพารา จึงต้องพยายามเข้าถึงให้มากที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจว่า หน่วยงานราชการทั้งในและต่างประเทศ พร้อมดูแลประชาชนคนไทยให้ดีที่สุด